วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดนตรีโพรเกรสซีฟ


Progressive Rock


โพรเกรสซีฟร็อก Progressive rock หรือเขียนสั้น ๆ ว่า prog หรือ prog rock เป็นดนตรีร็อกประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 เป็นส่วนหนึ่งของ "ความพยายามในการยกฐานะเพลงร็อกอังกฤษสู่ระดับใหม่ ด้านความเชื่อถือด้านศิลปะดนตรี" คำว่า "อาร์ตร็อก" มักจะใช้ในความหมายเช่นเดียวกับ "โพรเกรสซีฟร็อก" แต่ขณะที่ทั้งสองแนวเพลงก็ข้ามกันไปข้ามกันมา แต่ทั้งสองแนวเพลงก็ไม่ใช่อย่างเดียวกันเป็นแนวดนตรีที่เหมือนชื่อ คือ ล้ำหน้า ล้ำยุคสมัย มีการใช้เสียงแปลกๆ เข้ามาในงาน การใช้ซินธิไซเซอร์ การเล่นดนตรียาวๆ และซับซ้อนมากขึ้นทั้งในภาคของดนตรีและเนื้อหา มีโครงสร้างดนตรีคล้าย Art Rock กำเนิดมาจาก Rock N Roll และ Experimentmetal Music วิวัฒนาการผ่านดนตรี Psychedelic และ Hard Rock มีโครงสร้างที่ซับซ้อนละเอียดอ่อนด้วยลีลา มีทั้งความไพเราะและเข้าใจยาก การ สื่อสาร ในเชิงอุปมาอุปมัยให้ตีความไปตามความนึกคิดของคนฟัง เช่นเดียวกับดนตรีที่บรรเลงบรรยายสอดรับกับเรื่องราวที่กล่าวถึง อาจใกล้เคียงกับเรื่องที่พูดหรือผิดสภาพความเป็นจริง


ดนตรี Progressive Rock เท่าที่ปรากฎเป็นหลักฐานเกิดขึ้นมาจากอังกฤษก่อนในทศวรรษที่ 60 จากนั้นขยายตัวไปยังแถบยุโรปและอเมริกา วงดนตรีที่เป็นที่บุกเบิกในแนวนี้ เช่น Manfred Mann earth Band, The Moody Blues, Pink Floyd, Nice, Genesis, Yes, Camel และ UK เป็นต้น ทั้งหมดล้วนเป็นศิลปินจากประเทศ อังกฤษทั้งสิ้น ส่วนที่มาจากเยอรมนี อาทิ Tangerine Dream, Eloy, P'cock, Topass และ Ashra Tempel เป็นต้น


ทางแถบยุโรปบางครั้งเรียก " Art Rock “ เนื่องจากลักษณะของดนตรีมีความเป็น ศิลปะผสมผสานอยู่ในผลงานมาก มีลีลาอ่อนไหวไม่ต่างจากภาพวาดหรือศิลปะแขนงอื่น ลักษณะพิเศษทางดนตรีจะใช้เครื่องเสียงสังเคราะห์ร่วมบรรเลงกับเครื่องจังหวะ เนื้อหาของเพลงมีทั้งเรื่องราวในอดีต ปัจจุบันและอนาคต มีทั้งเรื่องการเมือง สังคม สงครามและเทพนิยาย บางครั้งเป็นเพลงบรรเลงท่วงทำนองคล้ายเพลงร้อง หากแต่พรรณนาหรือบรรยายภาพด้วยท่วงทำนองตามความคิดของศิลปิน กลุ่มศิลปิน Progressive Rock อังกฤษส่วนใหญ่จะเป็นเพลงร้อง ส่วนของเยอรมันเห็นมีวง Tangerine Dream ที่ยืนสไตล์เป็นเพลงบรรเลง สำหรับวงนี้บางครั้งถูกจัดเข้าแนวElectronic Music เนื่องจากเครื่องดนตรีที่ใช้เล่นเน้นไปทางเครื่องซินธ์กับดรัมแมซีน


นอกเหนือจากผลงานในรูปอัลบั้มที่แสดงบุคลิกเฉพาะแนวแล้ว Progressive Rock ยังมีลักษณะเด่นตรงการแสดงสด (Live) ที่มักนิยมตกแต่งเวทีและเติมแต่งลีลาการแสดงอันวิจิตรประกอบเข้าไปด้วย เพื่อช่วยเสริมสร้างบรรยากาศของเพลงให้ตื่นเต้นและเร้าใจ วงดนตรีประเภทนี้ที่มีชื่อในการทำเทคนิคอย่างอื่นประกอบการแสดงสดเช่น Pink Floyd, Genesis, David Bowie, Yes และ Rush เป็นต้น


ลักษณะเด่นอีกอย่างของศิลปินแนวนี้คือ หน้าปกอัลบั้มจะได้รับการออกแบบมาอย่างประณีตบรรจง เป็นศิลปะร่วมสมัยที่สอดคล้องหรือบรรยายเรื่องราวที่กล่าวถึงใน อัลบั้มนั้น ๆ กระบวนการผลิตผลงานแต่ละชิ้นกินเวลาและเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก โดยเฉพาะการแสดง Concert จึงทำให้วงดนตรีประเภทนี้ได้รับความสนใจจากแฟนเพลงมาก และแฟนเพลงส่วนใหญ่มีมาตรฐานในการฟังเพลงสูงกว่า Popทั่วไป Rock สาขานี้ดูจะกำเนิดทายาทไม่รวดเร็วเท่าสาขาอื่น เป็นด้วยข้อจำกัดทางการค้าที่ศิลปินส่วนใหญ่ยังมองเป้าหมายเหมือนกันคือ ความมีชื่อเสียงและยอดจำหน่ายผลงาน กระนั้นต้นทศวรรษที่ 1990 ทายาท Progressive Rock หน้าใหม่ยังอุตส่าห์ถือกำเนิดสร้างกระแสให้เห็นอยู่บ้าง อาทิ Dream Theatre และ Shadow Galley บางวงอยู่ในกลุ่มของ Alternative อย่าง Sonic Youth และ Smashing Pumpkins ทุกผลงานยังเจือสีของ Progressive Rock ตั้งใจ โดยเฉพาะกลุ่ม The Youth ที่ ประกาศตัวเป็น Pure Art หรือนักสร้างดนตรีบริสุทธิ์ โดยปฏิเสธที่จะสร้างงานด้วยจุดมุ่ง หมายทางการค้า จะสังเกตเห็นว่าศิลปินประเภทนี้มักจะเป็นผู้กำหนดตลาด หรือก่อให้เกิดกระแสความนิยม


แม้แต่ในเมืองไทยบ้านเรา มิวายที่อิทธิพลดนตรีก้าวหน้าจะปลุกให้เกิดศิลปินสาขานี้เช่นกัน Butterfly, นุภาพ สวันตรัจฉ์, ตาวัน, Camera Eyes และมาโนช พุฒตาล เป็นอาทิ นับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมา เสียดายที่กลุ่มคนฟังในบ้านเรา ยังไม่เปิดกว้างพอที่จะรองรับและยอมรับฝีมือของศิลปินไทยในแนว Progressive Rock มากเท่าที่ควร

ดนตรีพังค์ Punk

ดนตรีพังค์พั้งค์ (Punk)

เป็นคำสแลงที่ใช้เรียกสิ่งของหรือบุคคลที่ไร้สาระหรือโจรกระจอก ซึ่งมีที่มาจากความหมายที่แท้จริงคือ สารจุดไฟหรือไม้แห้งที่ใช้จุดไฟ แต่มีสิ่งหนึ่งที่นำคำนี้ไปใช้เรียกคือ “ Punk Music “ และดนตรีพังก์นี่เองที่ทำให้คำนี้ไม่มีวันหายไปเฉกเช่นดนตรีร็อค
ในขณะที่ดนตรีป๊อปของวงเดอะบีทเทิ่ลส์ ( The Beatles ) กำลังครองความนิยมทั่วโลกในช่วงปลายยุค ‘60s เรื่อยมาจนข้ามเข้าสู่ยุค ‘70s แม้ทางฝั่งอเมริกาช่วงนั้นเริ่มมีแวดวงอันเดอร์กราวนด์มิวสิค โดยมีวงอย่าง The Fugs ที่ทำดนตรีแปลกแยกจากวงอื่นๆ และนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมแล้วก็ตาม แต่คำว่า ‘ Punk Music ‘ ก็ยังไม่ถูกนำมาใช้

จนกระทั่งวงอาร์ต-ร็อคอย่าง The Velvet Underground ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1966 ได้ส่งผลให้เกิดการแตกหน่อทางดนตรีให้กับศิลปินหน้าใหม่มากมายให้กล้าสร้างผลงานดนตรีใหม่ๆ ออกมา ที่โด่งดังที่สุดคือ Iggy Pop & The Stoogers

แนวดนตรี Punk ได้ก่อกำเหนิดขึ้นที่ New York สหรัฐอเมริกา ในช่วงกลางทศวรรษที่ 60 ซึ่งวงดนตรีวงแรก ๆ ที่เล่นเพลงแนว Punk เช่นThe Stooges, MC5, The Sonics ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 70 Punkได้เข้าไปแพร่ขยายในกลุ่มวัยรุ่นชาวอังกฤษ โดยเฉพาะในกรุงลอนดอน จนอาจเรียกได้ว่า London เป็นเมืองหลวงของ Punk ในทวีปยุโรป ก็ว่าได้ ซึ่งวงดนตรีที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้นได้แก่Agnostic Front, Dead Kennedys, Minor Threat, Blink182, Busted, Simple Plan และ Sex Pistols โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Sex Pistols เป็นวง Punk ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคนั้น หลังจากนั้นความเคลื่อนไหวต่างๆ ของวงการPunk ก็มักจะเกิดขึ้นที่ London โดยเฉพาะในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ที่ถือได้ว่าเป็นช่วงที่ได้รับการตอบรับมากที่สุด ของวง Punk

ดนตรี Punk จะไม่มีการแสดงความสามารถของนักดนตรีคนใดคนนึงโดยเฉพาะเนื่องจาก Punk มีแนวคิดแบบ Anti-Heroes หรือการต่อต้านเอกวีรบุรุษนั่นเองอย่างวง Rock จะมีการโชว์เทคนิคการ Solo ของมือกีต้าร์ ดังนั้นดนตรี Punk จะเป็นดนตรีที่มีโครงสร้างง่ายๆ แต่เน้นความเป็นตัวของตัวเองของนักดนตรี
สิ่งที่มาพร้อมกับดนตรี Punk คือแนวคิดแบบ Punk ซึ่งแนวคิดแบบ Punk นั้นจะแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย ในยุคเริ่มแรกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ Punk ที่เข้าไปมีบทบาทต่อวัยรุ่นในกรุงลอนดอน แนวคิด Punk จะเป็นแนวคิดแบบต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นต่อต้านระบบโรงเรียน ต่อต้านเศรษฐกิจ ต่อต้ารอุตสาหกรรม ต่อต้านรัฐ ดังนั้นการแสดงออกของเหล่า Punk ทั้งหลายจะออกมาในลักษณะประชดประชัน และมีความรุนแรงแฝงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว ที่สวนกระแสของคนในสังคม การเสพยา และแอลกอฮอลในปริมาณมาก เพื่อประชดประชัน การแสดงออกที่รุนแรงในเวลาที่มีการแสดงคอนเสิร์ต และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้ Punk ไม่เป็นที่ชื่นชอบนักของคนในสังคม ทั้งนี้ผู้ที่นิยมชมชอบในแนวดนตรีแบบ Punk กลับมาจากคนหลายระดับในสังคม ส่วนมากจะเป็นคนชั้นกลางและคนที่มีสถานะในสังคมที่ไม่ดีนัก แต่ก็มีนักศึกษาเรียนดีจำนวนหนึ่งในสมัยนั้นที่นิยมชมชอบในความเป็น Punk

ในยุคต่อมาคือทศวรรษที่ 80 ความรุนแรงของเหล่า Punk ได้อ่อนตัวลงไปอย่างสูง แต่แนวคิดต่อต้านของ Punk ก็ยังคงตัวอยู่ แต่ไม่ได้เน้นหนักไปทางต่อต้านสังคมโดยใช้ความรุนแรง และการประชดประชัดดังเช่นยุคแรก แต่เป็นการต่อการวงการดนตรีในสมัยนั้นโดยผ่านเสียงดนตรีของตนเอง เนื่องเพราะวงการดนตรีในยุคนั้นเป็นยุคแห่งการลวงโลก มีการปั้นแต่งนักร้องหน้าตาดีจำนวนมากเข้าสู่ตลาดเพื่อหวังผลกำไร ทำให้หลาย ๆ คนเบื่อหน่ายกับวงการดนตรีในสมัยนั้น แล้วหันมาสนใจดนตรี Punk ทำให้เกิด Fashion-Punk หรือคนที่ไม่ได้ชอบหรือเป็น Punk แต่พยายามทำตัวให้ดูเหมือน Punk เพื่อความโก้เก๋ขึ้นเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นไม่นานในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 Punk ก็ได้รับความสนใจน้อยลงเรื่อยๆ ถึงขนาดที่หลาย ๆ คนมองว่า Punk เป็นแนวดนตรีที่ตายไปแล้ว

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 วงการเพลง Rock มาถึงจุดอิ่มตัว วง Rock ต่าง ๆ ได้สร้างภาพสร้างความอลังการมากจนเกินความจำเป็น คนฟังเพลงจำนวนมากเริ่มเบื่อวง Rock ผมยาวใส่เสื้อหนัง และฉายแสงไฟกำลังสูงไปที่นักดนตรี จนคนดูแสบตา เพื่อให้การแสดงดนตรีดูหรูหราอลังการ ตัวอย่างของวง Rock เหล่านี้ได้แก่ Scorpions, Guns 'n Roses, Bon Jovi, Europe และอื่นๆอีกมากมาย
และในช่วงนี้นี่เองที่ Punk เข้ามาพลิกวงการดนตรีทั่วโลกอย่างที่ไม่มีใครคาดเดาได้
Nirvana วงดนตรีจาก Seattle สหรัฐอเมริกา ผู้ที่นำกลิ่นอายของดนตรี Punk ผสมเข้าในดนตรีของตนเอง กับแนวคิดแบบ Anti-Heroes เป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงวงการดนตรีทั่วโลก โดย Nirvana ได้ใช้ดนตรีเป็นสื่อในการเรียกให้บรรดาวัยรุ่นออกมาแสดงความเป็นตัวของตัวเอง Smells Like Teen Spirit จากอัลบั้ม Nevermind เป็นเพลงที่ทำให้ Nirvana มีชื่อเสียงไปทั่วโลก แซงหน้าอัลบั้ม Dangerous ของ Michael Jackson และสามารถลบภาพวง Rock ผมยาวได้อย่างหมดจด เป็นการเปิดมิติใหม่ของวงการเพลงทั่วโลก และสร้างแรงบรรดาลใจให้นักดนตรีอิสระ (Indies) ออกมาแสดงความสามารถ และความเป็นตัวของตัวเอง เป็นจุดเริ่มต้นของ Modern Rock และ Alternative

ผู้ที่มีบทบาทต่อวง Nirvana มากที่สุดคือ Kurt Cobain นักร้องนำ มือกีตาร์ และคนแต่งเพลงให้กับวง Kurt Cobain เป็นคนที่ไม่ต้องการมีชื่อเสียง ต่อต้านการเหยียดสีผิว และ ยืนข้างเหล่ารักร่วมเพศ (แต่ ตัวเขาเองไม่ได้เป็นรักร่วมเพศ) ในการแสดงหลาย ๆ ครั้ง เขาและสมาชิกในวงได้แสดงออกในสิ่งเหล่านี้ เช่น แต่งชุดผู้หญิงขึ้นแสดงบนเวที เพื่อสื่อให้คนดูเห็นว่าตนเห็นด้วยกับพวกรักร่วมเพศ การแสดงที่ต่างจากที่ตกลงไว้กับเหล่าโปรดิวเซอร์ แกล้งเล่นผิดจนน่าเกลียดในกรณีที่ไม่พอใจผู้จัดการแสดง การทำลายเครื่องดนตรีและด่าทอเพื่อยั่วโทสะคนดู และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ Nirvana เป็นวงดนตรีที่มีการแสดงสดไม่เหมือนใคร และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ทั้งที่สิ่งที่ เขาต้องการคือไม่อยากให้ตนเองมีชื่อเสียง
ความมีชื่อเสียงทำให้เกิดความขัดแย้งในตนเองขึ้นในตัว Curt Cobain ทำให้เขาเกลียดตนเอง และคิดฆ่าตัวตายในหลาย ๆ ครั้ง ในช่วงที่ Curt Cobain มีชื่อเสียงถึงขีดสุด Nirvana ได้เดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตในประเทศต่าง ๆ ทั่วทวีปยุโรป ทำให้โรคกระเพาะของเขา กำเริบ บวกกับปัญหายาเสพติด และปัญหาครอบครัว ทำให้ชีวิตของ Curt Cobain ตกต่ำลงเรื่อย ๆ และได้เสียชีวิตโดยการฆ่าตัวตายในวันที่ 5 เมษายน 1994

เหล่านักดนตรี Punk มักบอกกับคนอื่น ๆ ว่า หากคุณดีดคอร์ดกีตาร์ได้สามคอร์ด คุณก็เล่นดนตรี Punk ได้แล้ว แต่ด้วยความง่ายของดนตรี Punk นี่เอง ที่ทำให้ดนตรี Punk เดินทางมาถึงทางตันอย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง Green Day ได้ปลุกปลุกกระแสความเป็น Neopunk ไปยังกลุ่มวัยรุ่น ทำให้ Punk ได้หวนกลับสู่สังเวียนวงการเพลงอีกครั้งอย่างสง่างาม
Green Day นำโดย Billie Joe Armstrong มือกีตาร์และนักร้องนำ ได้สร้างชื่อเสียงด้วยอัลบั้ม Kerplunk และประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยอัลบั้ม Dookies ทั้งสองอัลบั้มได้ทำให้ Green Day กลายเป็นวง Punk ที่ดีที่สุดวงหนึ่งของโลก แต่ในอัลบั้มต่อมาคือ Insomniac ความนิยมในวง Green Day กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด Green Day ถูกวิพากวิจารณ์อย่างหนักในสองอัลบั้มต่อมา คือ Nimrod และ Warning เนื่องเพราะทั้งสองอัลบั้มมีความเป็น Ballad Rock มากเกินกว่าที่จะเป็น Punk หลังจากนั้น Green Day ก็ได้ยุบวง

ในปี 2004 สมาชิกของวง Green Day กลับมารวมตัวกันอีกครั้งพร้อมกับอัลบั้ม American Idiot ซึ่งเป็นการกลับมาอันยิ่งใหญ่ของวง Punk ระดับโลกวงนี้ แฟนเพลงต่างตอบรับการกลับมาอย่างล้นหลาม สาเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจาก Green Day กลับมาเป็น Neopunk เต็มตัวอีกครั้ง ในเนื้อหาของเพลงมีการพูดถึงการเมืองอย่างโจ่งแจ้ง พร้อม ๆ กับที่มีการสนับสนุนให้เหล่าวัยรุ่นกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

รางวัลต่าง ๆ และยอดขายของ American Idiot เป็นเครื่องยืนยันการประสบความสำเร็จของ Green Day ได้เป็นอย่างดี และการแสดงสดอย่าง Bullet in a bible ซึ่งแสดงที่ประเทศอังกฤษสองรอบในเวลาสองวัน รวมผู้ชมทั้งสิ้น 160,000 คน ก็เป็นเครื่องตอกย้ำความสำเร็จของ American Idiot ได้อย่างดีทีเดียว
1.ANARCHIST PUNK - วงพั้งค์ที่มีเนื้อหาฝักใฝ่อนาธิปไตยอย่างสุดขั้ว เสื้อผ้าหน้าผม การแต่งกายที่หลุดโลก มีชีวิตที่แปลกแยกออกจากสังคม วงเด่นๆคือ The Exploited, G.B.H, Conflict, Chaos U.K. Oi! - พั้งค์ที่แต่งกายแนวเดียวกันกับพวกสกินเฮด พวกแก๊งค์สผม๊ตเตอร์(บ้านเราเรียกแก๊งค์เวสป้าใช่หรือเปล่า)
พวกฮูลิแกน ดนตรีจะเบากว่า แอนนาคริสต์ พั้งค์ ดนตรีโจ๊ะๆ มีเมโลดี และชวนโยกสุดๆ แต่ก็ไม่ทิ้งความหนักหน่วงของดนตรีร็อค วงเด่นๆ คือ Blitz, The Bussiness, Cock Sparrer, 4 Skin คำว่า Oi! นั้นเป็นเหมือนคำอุทานของพวกพั้งค์ และที่มาอีกอย่างนึงก็คือมาจากเพลง Oi! Oi! Oi! ของวง Cockney Reject

2.Hardcore Punk แนวย่อย (Sub Genre) ของดนตรี Punk Rock ก่อกำเนิดขึ้นในช่วงปลายยุค 70 ที่อเมริกา ภายหลังจากการล่มสลายของพังก์จากฝั่งอังกฤษ โครงสร้างที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Punk Rock โดยใส่ความหนักแน่น ความเร็ว และความกระชับ มากกว่าวงพังก์รุ่นก่อนๆ Godfather ของวงการในยุคนั้นต้องยกให้กับ 3 วงนี้ Black Flag, Bad Brains และ Minor Threat

3.Horror Punk แนวย่อย (Sub Genre) ของดนตรี Punk Rock บุกเบิกโดยวง Misfits ด้วยเอกลักษณ์เนื้อหาที่พูดถึงเรื่องสยองขวัญ ภูติผี ปีศาจ ดนตรีที่ไม่หนีไปจาก Hardcore Punk สักเท่าไหร่ สไตล์การร้องในแบบ Doo-wop ของดนตรี Rhythm And Blues และกลิ่นอายของดนตรี Rockabilly

4.SWEDISH - Swedish Punk, Swedish Hardcore, หมายถึงวงดนตรีจากประเทศสวีเดน เราจะรู้ดีว่าประเทศสวีเดนนั้นมีวงเมทัลหนักกระโหลกมากมาย และดนตรีก็มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองเช่น Swedish Death, Swedish Black เช่นเดียวกันกับดนตรีพั้งค์ สวีเดนมีวงเด่นๆดังๆมากมายและดนตรีที่รับอิทธิพลมาจากวงอังกฤษอย่าง Discharge

นั้นก็ทำให้วงจากสวีเดนนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวค่อนข้างสูง มีความโหดความหนักกว่าฮาร์ดคอร์พั้งค์ในยุคเดียวกัน รวมถึงอิมเมจดุดัน ผมแหลมชี้ฟู เสื้อหนังปักหมุดที่ถอดแบบพั้งค์อังกฤษมาทีเดียว วงเด่นๆคือ Anti Cimex, Mob 47, Shitlickers, Moderat Likvidation, Crude SS, Totalitar และอีกมากมาย วงจากสวีเดนนี้มีอิทธิพลให้วงรุ่นหลังได้ไม่แพ้วงจากอังกฤษและอเมริกาเลยทีเดียว

5.FINISH - Finish Punk, Finish Hardcore, วงดนตรีจากเพื่อนบ้านสวีเดนอย่างประเทศฟินแลนด์ ในด้านอื่นๆประเทศฟินแลนด์อาจไม่ได้มีอะไรเด่น แต่ในยุค 80 วงจากประเทศนี้ก็มีมาอาละวาดเหมือนกันและยังทรงอิทธิพลถึงทุกวันนี้ วงเด่นๆ KAAOS, RIISTETYT, APPENDIX

6.JAPANCORE - Japcore วงดนตรีพั้งค์ ฮาร์ดคอร์ จากแดนปลาดิบ อย่างที่รู้กันว่า มีทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศนี้รวมถึงวงดนตรีพั้งค์ชั้นหัวกระทิมากมายตั้งแต่ยุค 80 เป็นต้นมา มีวงเด่นๆอย่าง Confuse, Kuro, G.I.S.M และรวมถึงวงโคตร D-beat อย่าง Disclose

ที่ญี่ปุ่นมีวงดนตรีอยู่หลากหลายสไตร์ แต่ที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาก็คือ ฮาร์ดคอร์ พั้งค์ และพั้งค์ในแบบเอ๊กซ์ตรีมอีกมากมาย วงเด่นๆ Confuse, Kuro, G.I.S.M, Death Side, Disclose, Final Blood Bath, Battle of Disarm D-BEAT - D = Discharge BEAT = drum beat, drum stlye แนวดนตรีที่ได้รับอิทธิพลมาจาก Discharge อย่างเต็มๆ ทั้งดนตรี เนื้อหา โลโก้ ด้วยริทึ่มกลอง และสัดส่วนของดนตรีแบบ Discharge มีวงแนวนี้ออกมามากมาย แต่วงที่ถือว่าเป็นเจ้าพ่อของแนวนี้ก็คือ Disclose จากญี่ปุ่น ทุกสิ่งทุกอย่างแทบจะถอดแบบ Discharge มาเลยก็ว่าได้ แต่ดนตีก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

นอกจาก D-beat จะได้รับอิทธิพลมาจาก Discharge แล้ว ยังได้รับอิทธิพลจากวงอย่างสวีเดนอย่าง Anti Cimex, Shitlickers, Mob 47 มาเต็มๆ D-beat นับเป็นแนวดนตรีแนวหนึ่งที่ได้รับความนิยมในแวดวงดนตรีพั้งค์อินดี้ใต้ดิน วงเด่นในแนวนี้ Disclose, Final Blood Bath, Besthoven, Recharge, Diskonto รวมถึงวงเพื่อนบ้านเราอย่าง Apparatus วง D-beat จากมาเลเซียที่เริ่มสร้างชื่อเสียงในแวดวง

7.STREET PUNK - พั้งค์ข้างถนน วันๆไม่ทำงานทำการ กินแล้วเมา เมาแล้วกิน street punk หมายถึงดนตรีพั้งค์แนวนึงที่ค่อนข้างได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และหมายถึงแฟชั่นของพั้งค์พวกนี้ ซึ่งเป็นพั้งค์ในแบบที่คนทั่วไปรู้จักกัน หัวหนามสีสันแสบตาเสื้อหนังปักหมุด วงเด่นๆคือ The Casualties, The Unseen, The Virus, A Global Threat, Antidote, Action วงเหล่านี้บางครั้งก็มักเรียกว่า Hardcore Punk เหมือนกัน

8.Pop Punk แนวย่อย (Sub Genre) ของดนตรี Punk Rock ถูกวางรากฐานมาตั้งแต่ยุค 70 โดยวงอย่าง Ramones, Buzzcocks และ The Undertones ด้วยการผสมผสานดนตรี Pop ที่เนื้อหาใกล้ๆตัว ฟังง่าย เข้าถึงได้ง่าย บวกเข้ากับความรวดเร็ว ดิบ กระชับของดนตรี Punk Rock ดนตรี Pop Punk เป็นรูปเป็นร่างจริงก็ในช่วงต้นยุค 90 โดยบรรดาวงจากค่าย Lookout! Records เช่น Screeching Weasel, The Queers, The Mr. T Experience และ Green Day

9.Oi! แนวย่อย (Sub Genre) ของดนตรี Punk Rock กลุ่มวงดนตรีจากชนชั้นแรงงาน และเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม Skinheads ที่ก่อกำเนิดในช่วงต้นยุค 80 ที่ประเทศอังกฤษ โครงสร้างที่ยังคงความเป็น Punk Rock ผสมผสานดนตรี Folk และองค์ประกอบทางดนตรีที่เรียบง่าย เนื้อหามุ่งเน้นชีวิต และการให้กำลังใจของชนชั้นแรงงาน วง Cockney Rejects เป็นผู้สร้างเอกลักษณ์สำคัญของ Oi! โดยนำคำว่า Oi! Oi! Oi! ใส่เข้าไปในบทเพลง วงเด่นๆในยุคนั้นก็มี Angelic Upstarts, The 4-Skins, The Business, Blitz, The Blood, The Last Resort, Combat 84, Infa Riot, The Burial และ The Oppressed

10.Anarcho Punk วัฒนธรรมย่อย (Subculture) ของดนตรี Punk Rock เรียกอีกอย่างว่า Peace Punk เกิดขึ้นในอังกฤษช่วงยุค 70-80 อิทธิพลดนตรีจากวงในยุค 70 แต่มุ่งเน้นเนื้อหาภาวะอนาธิปไตย การเมือง และสังคมแบบสุดโต่ง โดยมีวง Crass, Conflict, Flux of Pink Indians, Subhumans, Poison Girls, Rudimentary Peni และ Oi Polloi เป็นหัวหอกให้กับวัฒนธรรมดนตรีกลุ่มนี้
CROSSOVER - ดนตรีฮาร์ดคอร์ที่ผสมดนตรี Thrash เข้าไปเพราะว่าช่วงนั้นดนตรี Thrash & Speed กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง และวงฮาร์ดคอร์ก็ได้นำดนตรีแทรชผสมเข้าไปให้เกิดความรุนแรงกร้าวร้าวกว่าฮาร์ดคอร์ทั่วไปวงเด่นๆ D.R.I, Amagedom, Concret Sox

11. Skate Punk แนวย่อย (Sub Genre) ของดนตรี Hardcore Punk เกิดขึ้นในช่วงปลายยุค 80 รับอิทธิพลดนตรีมาจาก Hardcore Punk ผสมผสานกับดนตรี Surf Rock จังหวะที่รวดเร็ว รุนแรง แต่ไม่ก้าวร้าว เนื้อหาที่พูดถึงอยู่กับกีฬาสเก็ตบอน์ด และชีวิตเด็กวัยรุ่นในยุคนั้น จนเกิดเป็นกระแสแฟชั่นในการที่วงดนตรีได้รับการสนับสนุนเสื้อผ้าจากบริษัท ผลิตสินค้าสเก็ตบอร์ดทั้งหลาย เช่นวง Pennywise, NoFX, 88 Fingers Louie, No Use For A Name, No Fun At All, Millencolin, Lagwagon, Good Riddance, A Wilhelm Scream, Slick Shoes, Strung Out และ Ten Foot Pole

12. 2Tone แนวดนตรี (Musical Genre) ที่ก่อกำเนิดในช่วงปลายยุค 70 ที่ประเทศอังกฤษ เป็นการผสมผสานสายพันธุ์ดนตรีอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Ska, Punk Rock, Rocksteady, Reggae และ Pop วงเด่นๆในยุคนั้นได้แก่ The Specials, The English Beat, Madness และ The Bodysnatchers ซึ่งต่อมาในภายหลังได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับดนตรี Third Wave Ska หรือที่รู้จักในชื่อ Ska Punk ในช่วงยุค 90 ที่ประเทศอเมริกา