เป็นคำสแลงที่ใช้เรียกสิ่งของหรือบุคคลที่ไร้สาระหรือโจรกระจอก ซึ่งมีที่มาจากความหมายที่แท้จริงคือ สารจุดไฟหรือไม้แห้งที่ใช้จุดไฟ แต่มีสิ่งหนึ่งที่นำคำนี้ไปใช้เรียกคือ “ Punk Music “ และดนตรีพังก์นี่เองที่ทำให้คำนี้ไม่มีวันหายไปเฉกเช่นดนตรีร็อค
ในขณะที่ดนตรีป๊อปของวงเดอะบีทเทิ่ลส์ ( The Beatles ) กำลังครองความนิยมทั่วโลกในช่วงปลายยุค ‘60s เรื่อยมาจนข้ามเข้าสู่ยุค ‘70s แม้ทางฝั่งอเมริกาช่วงนั้นเริ่มมีแวดวงอันเดอร์กราวนด์มิวสิค โดยมีวงอย่าง The Fugs ที่ทำดนตรีแปลกแยกจากวงอื่นๆ และนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสังคมแล้วก็ตาม แต่คำว่า ‘ Punk Music ‘ ก็ยังไม่ถูกนำมาใช้
จนกระทั่งวงอาร์ต-ร็อคอย่าง The Velvet Underground ถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1966 ได้ส่งผลให้เกิดการแตกหน่อทางดนตรีให้กับศิลปินหน้าใหม่มากมายให้กล้าสร้างผลงานดนตรีใหม่ๆ ออกมา ที่โด่งดังที่สุดคือ Iggy Pop & The Stoogers
แนวดนตรี Punk ได้ก่อกำเหนิดขึ้นที่ New York สหรัฐอเมริกา ในช่วงกลางทศวรรษที่ 60 ซึ่งวงดนตรีวงแรก ๆ ที่เล่นเพลงแนว Punk เช่นThe Stooges, MC5, The Sonics ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 70 Punkได้เข้าไปแพร่ขยายในกลุ่มวัยรุ่นชาวอังกฤษ โดยเฉพาะในกรุงลอนดอน จนอาจเรียกได้ว่า London เป็นเมืองหลวงของ Punk ในทวีปยุโรป ก็ว่าได้ ซึ่งวงดนตรีที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้นได้แก่Agnostic Front, Dead Kennedys, Minor Threat, Blink182, Busted, Simple Plan และ Sex Pistols โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Sex Pistols เป็นวง Punk ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคนั้น หลังจากนั้นความเคลื่อนไหวต่างๆ ของวงการPunk ก็มักจะเกิดขึ้นที่ London โดยเฉพาะในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 ที่ถือได้ว่าเป็นช่วงที่ได้รับการตอบรับมากที่สุด ของวง Punk
ดนตรี Punk จะไม่มีการแสดงความสามารถของนักดนตรีคนใดคนนึงโดยเฉพาะเนื่องจาก Punk มีแนวคิดแบบ Anti-Heroes หรือการต่อต้านเอกวีรบุรุษนั่นเองอย่างวง Rock จะมีการโชว์เทคนิคการ Solo ของมือกีต้าร์ ดังนั้นดนตรี Punk จะเป็นดนตรีที่มีโครงสร้างง่ายๆ แต่เน้นความเป็นตัวของตัวเองของนักดนตรี
สิ่งที่มาพร้อมกับดนตรี Punk คือแนวคิดแบบ Punk ซึ่งแนวคิดแบบ Punk นั้นจะแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย ในยุคเริ่มแรกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ Punk ที่เข้าไปมีบทบาทต่อวัยรุ่นในกรุงลอนดอน แนวคิด Punk จะเป็นแนวคิดแบบต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นต่อต้านระบบโรงเรียน ต่อต้านเศรษฐกิจ ต่อต้ารอุตสาหกรรม ต่อต้านรัฐ ดังนั้นการแสดงออกของเหล่า Punk ทั้งหลายจะออกมาในลักษณะประชดประชัน และมีความรุนแรงแฝงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว ที่สวนกระแสของคนในสังคม การเสพยา และแอลกอฮอลในปริมาณมาก เพื่อประชดประชัน การแสดงออกที่รุนแรงในเวลาที่มีการแสดงคอนเสิร์ต และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้ Punk ไม่เป็นที่ชื่นชอบนักของคนในสังคม ทั้งนี้ผู้ที่นิยมชมชอบในแนวดนตรีแบบ Punk กลับมาจากคนหลายระดับในสังคม ส่วนมากจะเป็นคนชั้นกลางและคนที่มีสถานะในสังคมที่ไม่ดีนัก แต่ก็มีนักศึกษาเรียนดีจำนวนหนึ่งในสมัยนั้นที่นิยมชมชอบในความเป็น Punk
ในยุคต่อมาคือทศวรรษที่ 80 ความรุนแรงของเหล่า Punk ได้อ่อนตัวลงไปอย่างสูง แต่แนวคิดต่อต้านของ Punk ก็ยังคงตัวอยู่ แต่ไม่ได้เน้นหนักไปทางต่อต้านสังคมโดยใช้ความรุนแรง และการประชดประชัดดังเช่นยุคแรก แต่เป็นการต่อการวงการดนตรีในสมัยนั้นโดยผ่านเสียงดนตรีของตนเอง เนื่องเพราะวงการดนตรีในยุคนั้นเป็นยุคแห่งการลวงโลก มีการปั้นแต่งนักร้องหน้าตาดีจำนวนมากเข้าสู่ตลาดเพื่อหวังผลกำไร ทำให้หลาย ๆ คนเบื่อหน่ายกับวงการดนตรีในสมัยนั้น แล้วหันมาสนใจดนตรี Punk ทำให้เกิด Fashion-Punk หรือคนที่ไม่ได้ชอบหรือเป็น Punk แต่พยายามทำตัวให้ดูเหมือน Punk เพื่อความโก้เก๋ขึ้นเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นไม่นานในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 Punk ก็ได้รับความสนใจน้อยลงเรื่อยๆ ถึงขนาดที่หลาย ๆ คนมองว่า Punk เป็นแนวดนตรีที่ตายไปแล้ว
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 วงการเพลง Rock มาถึงจุดอิ่มตัว วง Rock ต่าง ๆ ได้สร้างภาพสร้างความอลังการมากจนเกินความจำเป็น คนฟังเพลงจำนวนมากเริ่มเบื่อวง Rock ผมยาวใส่เสื้อหนัง และฉายแสงไฟกำลังสูงไปที่นักดนตรี จนคนดูแสบตา เพื่อให้การแสดงดนตรีดูหรูหราอลังการ ตัวอย่างของวง Rock เหล่านี้ได้แก่ Scorpions, Guns 'n Roses, Bon Jovi, Europe และอื่นๆอีกมากมาย
และในช่วงนี้นี่เองที่ Punk เข้ามาพลิกวงการดนตรีทั่วโลกอย่างที่ไม่มีใครคาดเดาได้
Nirvana วงดนตรีจาก Seattle สหรัฐอเมริกา ผู้ที่นำกลิ่นอายของดนตรี Punk ผสมเข้าในดนตรีของตนเอง กับแนวคิดแบบ Anti-Heroes เป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงวงการดนตรีทั่วโลก โดย Nirvana ได้ใช้ดนตรีเป็นสื่อในการเรียกให้บรรดาวัยรุ่นออกมาแสดงความเป็นตัวของตัวเอง Smells Like Teen Spirit จากอัลบั้ม Nevermind เป็นเพลงที่ทำให้ Nirvana มีชื่อเสียงไปทั่วโลก แซงหน้าอัลบั้ม Dangerous ของ Michael Jackson และสามารถลบภาพวง Rock ผมยาวได้อย่างหมดจด เป็นการเปิดมิติใหม่ของวงการเพลงทั่วโลก และสร้างแรงบรรดาลใจให้นักดนตรีอิสระ (Indies) ออกมาแสดงความสามารถ และความเป็นตัวของตัวเอง เป็นจุดเริ่มต้นของ Modern Rock และ Alternative
ผู้ที่มีบทบาทต่อวง Nirvana มากที่สุดคือ Kurt Cobain นักร้องนำ มือกีตาร์ และคนแต่งเพลงให้กับวง Kurt Cobain เป็นคนที่ไม่ต้องการมีชื่อเสียง ต่อต้านการเหยียดสีผิว และ ยืนข้างเหล่ารักร่วมเพศ (แต่ ตัวเขาเองไม่ได้เป็นรักร่วมเพศ) ในการแสดงหลาย ๆ ครั้ง เขาและสมาชิกในวงได้แสดงออกในสิ่งเหล่านี้ เช่น แต่งชุดผู้หญิงขึ้นแสดงบนเวที เพื่อสื่อให้คนดูเห็นว่าตนเห็นด้วยกับพวกรักร่วมเพศ การแสดงที่ต่างจากที่ตกลงไว้กับเหล่าโปรดิวเซอร์ แกล้งเล่นผิดจนน่าเกลียดในกรณีที่ไม่พอใจผู้จัดการแสดง การทำลายเครื่องดนตรีและด่าทอเพื่อยั่วโทสะคนดู และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ Nirvana เป็นวงดนตรีที่มีการแสดงสดไม่เหมือนใคร และมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ทั้งที่สิ่งที่ เขาต้องการคือไม่อยากให้ตนเองมีชื่อเสียง
เหล่านักดนตรี Punk มักบอกกับคนอื่น ๆ ว่า หากคุณดีดคอร์ดกีตาร์ได้สามคอร์ด คุณก็เล่นดนตรี Punk ได้แล้ว แต่ด้วยความง่ายของดนตรี Punk นี่เอง ที่ทำให้ดนตรี Punk เดินทางมาถึงทางตันอย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง Green Day ได้ปลุกปลุกกระแสความเป็น Neopunk ไปยังกลุ่มวัยรุ่น ทำให้ Punk ได้หวนกลับสู่สังเวียนวงการเพลงอีกครั้งอย่างสง่างาม
Green Day นำโดย Billie Joe Armstrong มือกีตาร์และนักร้องนำ ได้สร้างชื่อเสียงด้วยอัลบั้ม Kerplunk และประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยอัลบั้ม Dookies ทั้งสองอัลบั้มได้ทำให้ Green Day กลายเป็นวง Punk ที่ดีที่สุดวงหนึ่งของโลก แต่ในอัลบั้มต่อมาคือ Insomniac ความนิยมในวง Green Day กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด Green Day ถูกวิพากวิจารณ์อย่างหนักในสองอัลบั้มต่อมา คือ Nimrod และ Warning เนื่องเพราะทั้งสองอัลบั้มมีความเป็น Ballad Rock มากเกินกว่าที่จะเป็น Punk หลังจากนั้น Green Day ก็ได้ยุบวง
ในปี 2004 สมาชิกของวง Green Day กลับมารวมตัวกันอีกครั้งพร้อมกับอัลบั้ม American Idiot ซึ่งเป็นการกลับมาอันยิ่งใหญ่ของวง Punk ระดับโลกวงนี้ แฟนเพลงต่างตอบรับการกลับมาอย่างล้นหลาม สาเหตุหนึ่งก็เนื่องมาจาก Green Day กลับมาเป็น Neopunk เต็มตัวอีกครั้ง ในเนื้อหาของเพลงมีการพูดถึงการเมืองอย่างโจ่งแจ้ง พร้อม ๆ กับที่มีการสนับสนุนให้เหล่าวัยรุ่นกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง
รางวัลต่าง ๆ และยอดขายของ American Idiot เป็นเครื่องยืนยันการประสบความสำเร็จของ Green Day ได้เป็นอย่างดี และการแสดงสดอย่าง Bullet in a bible ซึ่งแสดงที่ประเทศอังกฤษสองรอบในเวลาสองวัน รวมผู้ชมทั้งสิ้น 160,000 คน ก็เป็นเครื่องตอกย้ำความสำเร็จของ American Idiot ได้อย่างดีทีเดียว
1.ANARCHIST PUNK - วงพั้งค์ที่มีเนื้อหาฝักใฝ่อนาธิปไตยอย่างสุดขั้ว เสื้อผ้าหน้าผม การแต่งกายที่หลุดโลก มีชีวิตที่แปลกแยกออกจากสังคม วงเด่นๆคือ The Exploited, G.B.H, Conflict, Chaos U.K. Oi! - พั้งค์ที่แต่งกายแนวเดียวกันกับพวกสกินเฮด พวกแก๊งค์สผม๊ตเตอร์(บ้านเราเรียกแก๊งค์เวสป้าใช่หรือเปล่า)
2.Hardcore Punk แนวย่อย (Sub Genre) ของดนตรี Punk Rock ก่อกำเนิดขึ้นในช่วงปลายยุค 70 ที่อเมริกา ภายหลังจากการล่มสลายของพังก์จากฝั่งอังกฤษ โครงสร้างที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Punk Rock โดยใส่ความหนักแน่น ความเร็ว และความกระชับ มากกว่าวงพังก์รุ่นก่อนๆ Godfather ของวงการในยุคนั้นต้องยกให้กับ 3 วงนี้ Black Flag, Bad Brains และ Minor Threat
3.Horror Punk แนวย่อย (Sub Genre) ของดนตรี Punk Rock บุกเบิกโดยวง Misfits ด้วยเอกลักษณ์เนื้อหาที่พูดถึงเรื่องสยองขวัญ ภูติผี ปีศาจ ดนตรีที่ไม่หนีไปจาก Hardcore Punk สักเท่าไหร่ สไตล์การร้องในแบบ Doo-wop ของดนตรี Rhythm And Blues และกลิ่นอายของดนตรี Rockabilly
4.SWEDISH - Swedish Punk, Swedish Hardcore, หมายถึงวงดนตรีจากประเทศสวีเดน เราจะรู้ดีว่าประเทศสวีเดนนั้นมีวงเมทัลหนักกระโหลกมากมาย และดนตรีก็มีเอกลักษณ์เป็นของตนเองเช่น Swedish Death, Swedish Black เช่นเดียวกันกับดนตรีพั้งค์ สวีเดนมีวงเด่นๆดังๆมากมายและดนตรีที่รับอิทธิพลมาจากวงอังกฤษอย่าง Discharge
7.STREET PUNK - พั้งค์ข้างถนน วันๆไม่ทำงานทำการ กินแล้วเมา เมาแล้วกิน street punk หมายถึงดนตรีพั้งค์แนวนึงที่ค่อนข้างได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และหมายถึงแฟชั่นของพั้งค์พวกนี้ ซึ่งเป็นพั้งค์ในแบบที่คนทั่วไปรู้จักกัน หัวหนามสีสันแสบตาเสื้อหนังปักหมุด วงเด่นๆคือ The Casualties, The Unseen, The Virus, A Global Threat, Antidote, Action วงเหล่านี้บางครั้งก็มักเรียกว่า Hardcore Punk เหมือนกัน
8.Pop Punk แนวย่อย (Sub Genre) ของดนตรี Punk Rock ถูกวางรากฐานมาตั้งแต่ยุค 70 โดยวงอย่าง Ramones, Buzzcocks และ The Undertones ด้วยการผสมผสานดนตรี Pop ที่เนื้อหาใกล้ๆตัว ฟังง่าย เข้าถึงได้ง่าย บวกเข้ากับความรวดเร็ว ดิบ กระชับของดนตรี Punk Rock ดนตรี Pop Punk เป็นรูปเป็นร่างจริงก็ในช่วงต้นยุค 90 โดยบรรดาวงจากค่าย Lookout! Records เช่น Screeching Weasel, The Queers, The Mr. T Experience และ Green Day
9.Oi! แนวย่อย (Sub Genre) ของดนตรี Punk Rock กลุ่มวงดนตรีจากชนชั้นแรงงาน และเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม Skinheads ที่ก่อกำเนิดในช่วงต้นยุค 80 ที่ประเทศอังกฤษ โครงสร้างที่ยังคงความเป็น Punk Rock ผสมผสานดนตรี Folk และองค์ประกอบทางดนตรีที่เรียบง่าย เนื้อหามุ่งเน้นชีวิต และการให้กำลังใจของชนชั้นแรงงาน วง Cockney Rejects เป็นผู้สร้างเอกลักษณ์สำคัญของ Oi! โดยนำคำว่า Oi! Oi! Oi! ใส่เข้าไปในบทเพลง วงเด่นๆในยุคนั้นก็มี Angelic Upstarts, The 4-Skins, The Business, Blitz, The Blood, The Last Resort, Combat 84, Infa Riot, The Burial และ The Oppressed
10.Anarcho Punk วัฒนธรรมย่อย (Subculture) ของดนตรี Punk Rock เรียกอีกอย่างว่า Peace Punk เกิดขึ้นในอังกฤษช่วงยุค 70-80 อิทธิพลดนตรีจากวงในยุค 70 แต่มุ่งเน้นเนื้อหาภาวะอนาธิปไตย การเมือง และสังคมแบบสุดโต่ง โดยมีวง Crass, Conflict, Flux of Pink Indians, Subhumans, Poison Girls, Rudimentary Peni และ Oi Polloi เป็นหัวหอกให้กับวัฒนธรรมดนตรีกลุ่มนี้
CROSSOVER - ดนตรีฮาร์ดคอร์ที่ผสมดนตรี Thrash เข้าไปเพราะว่าช่วงนั้นดนตรี Thrash & Speed กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง และวงฮาร์ดคอร์ก็ได้นำดนตรีแทรชผสมเข้าไปให้เกิดความรุนแรงกร้าวร้าวกว่าฮาร์ดคอร์ทั่วไปวงเด่นๆ D.R.I, Amagedom, Concret Sox
11. Skate Punk แนวย่อย (Sub Genre) ของดนตรี Hardcore Punk เกิดขึ้นในช่วงปลายยุค 80 รับอิทธิพลดนตรีมาจาก Hardcore Punk ผสมผสานกับดนตรี Surf Rock จังหวะที่รวดเร็ว รุนแรง แต่ไม่ก้าวร้าว เนื้อหาที่พูดถึงอยู่กับกีฬาสเก็ตบอน์ด และชีวิตเด็กวัยรุ่นในยุคนั้น จนเกิดเป็นกระแสแฟชั่นในการที่วงดนตรีได้รับการสนับสนุนเสื้อผ้าจากบริษัท ผลิตสินค้าสเก็ตบอร์ดทั้งหลาย เช่นวง Pennywise, NoFX, 88 Fingers Louie, No Use For A Name, No Fun At All, Millencolin, Lagwagon, Good Riddance, A Wilhelm Scream, Slick Shoes, Strung Out และ Ten Foot Pole
12. 2Tone แนวดนตรี (Musical Genre) ที่ก่อกำเนิดในช่วงปลายยุค 70 ที่ประเทศอังกฤษ เป็นการผสมผสานสายพันธุ์ดนตรีอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Ska, Punk Rock, Rocksteady, Reggae และ Pop วงเด่นๆในยุคนั้นได้แก่ The Specials, The English Beat, Madness และ The Bodysnatchers ซึ่งต่อมาในภายหลังได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับดนตรี Third Wave Ska หรือที่รู้จักในชื่อ Ska Punk ในช่วงยุค 90 ที่ประเทศอเมริกา
ศิลปินที่เล่นบลูส์แบบ เร็วรัว ในช่วงแรกๆของการบันทึกเสียง (1920s-1950s) ที่หาฟังกันได้ก็จะมี Robert Johnson, Muddy Waters, Mead "Lux" Lewis, Chuck Berry, Little Richard, และ Bo Diddley
ศิลปินเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนผิวดํา ทําให้สังคมอเมริกัน (ซึ่งเป็นสังคมเหยียดผิว ช่วงเวลานั้น) ไม่ยอมรับ และจําต้องพยายามหานักร้องผิวขาวอย่างเช่น Elvis Presley, Pat Boon, Jerry Lee Lewis, Bill Haley มาร้องแทน แม้ว่าเพลงที่นํามาขับร้องจะเป็นเพลงของศิลปินผิวดําแทบทุกเพลงก็ตาม
ในช่วง 1950s นั้น แม้ว่าวัยรุ่นชาวอเมริกันจะไม่ยอมรับศิลปินผิวดำ แต่เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่อยู่อีกฝั่งของมหาสมุทรแอ็ดแลนติก กลับชื่นชอบศิลปินผิวดําเป็นจํานวนมาก จนทําให้เกาะอังกฤษนั้นกลายเป็นจุดกําเนิดของวง Rock กันหลายวง และที่ออกจะมีชื่อเอามากในช่วง 1960s ก็คือ The Beatles และ The Rolling Stones
วงคนตรีทั้งสองนี้แตกต่างจากนักร้องอย่าง Elvis Presley หรือ Pat Boon ตรงที่ พวกเขาสามารถแต่งเพลงเองได้ และทําให้เกิดกระแสใหม่หลายอย่างในเพลง Rock อย่างเช่นการใช้กีต้าร์ "เสียงแตก"(Distortion) เพื่อสร้างนํ้าหนักและตอบสนองความต้องการในการฟังที่แปลกใหม่ ของเด็กรุ่นใหม่ The Beatles และ The Rolling Stones สามารถเข้าความต้องการอย่างแท้จริง ของเด็กวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาได้ดีกว่าศิลปินชาวอเมริกันอย่าง Elvis Presley ซึ่งเลือกที่จะอยู่ฝ่ายรัฐบาล นอกจากนั้นแล้วเพลงของ The Beatles สมัยปลายปี 1960s ยังมีเรื่องกบฎการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเสียด้วย อย่างเช่นเพลง "Back in the USSR" และ "Revolution" ซึ่งทําให้ John Birch Society ในสหรัฐต้องออกมาประกาศว่าวง The Beatles นั้นเป็นวง "คอมมิวนิส" ไม่เหมาะสมสําหรับเยาวชน
เมื่อ Bill Haley and his Comets นำเพลง (We're Gonna) Rock Around the Clock ขึ้นอันดับ 1 ในบิลล์บอร์ดชาร์ท เมื่อวันที่ 9 ก.ค.1955 และอยู่ในตำแหน่งนั้นนานถึง 8 สัปดาห์ติดต่อกัน ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ (Rock 'n' Roll) ก็ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมา Chuck Berry, Little Richar, Fats Domino, Bo Diddley, Ray Charles เป็นศิลปินผิวดำที่ร่วมสร้างดนตรีร็อคแอนด์โรลล์ขึ้นมาเมื่อกลางทศวรรษ ที่ 50 ด้วยเพลงร็อคดีๆมากมาย แต่ดูเหมือนร็อคแอนด์โรลล์จะขาดอะไรไปบางอย่าง จนการมาถึงของหนุ่มนักร้องผิวขาวที่ชื่อ เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) ต้นปี 1956 เอลวิส ในวัย 21 กับเพลง Heartbreak Hotel ที่ขึ้นอันดับ 1 ก็โด่งดังไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เอลวิสมีเพลงฮิตหลายเพลงในปีนั้นเช่น Blue Suede Shoes, I Want You I Need You I Love You, Hound Dog, Don't Be Cruel, Love Me, Anyway You Want Me และ Love Me Tender ส่งผลให้เขากลายเป็นราชาร็อคแอนด์โรลล์ไปในทันที
Carl Perkins, Jerry Lee Lewis, Buddy Holly, Gene Vincent, The Everly Brothers, Ricky Nelson, Roy Orbison เป็นศิลปินรุ่นต่อมาที่ได้ร่วมสร้างดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ให้แข็งแรงขึ้น
ดนตรี ร็อคแอนด์โรลล์ เกิดจากส่วนผสมของดนตรีหลายอย่างที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น เช่น Country, Gospel, Blues และ Rhythm and Blues แต่ต้องถือว่าเอลวิสเป็นผู้ที่ทำให้ร็อคแอนด์โรลล์โด่งดังและเติบโต มาได้ถึงทุกวันนี้
มีวงดนตรีจากอังกฤษเกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลาเดียวกับวงเดอะ บีเทิลส์ แต่ที่ได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันได้แก่ The Rolling Stones, The Kinks และ The Who รวมทั้งที่กลายเป็น ศิลปินเดี่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น Jeff Beck, Steve Winwood, Van Morrison และ Eric Clapton ในขณะที่ British Invasion ได้เป็นผู้นำวงการร็อคแอนด์โรลล์และวงการ พ็อพ (Pop) ดนตรีอเมริกันเจ้าของเพลงร็อคแอนด์โรลล์ ก็ได้นำดนตรี ริธึมแอนด์บลูส์ ( Rythm and Blues) ซึ่งเริ่มพัฒนามาเป็นเพลงร็อคเต็มตัว เช่นเพลงทั้งหมดจาก Motown ที่ ภายหลังถูกเรียกว่า เพลงโซล (Soul) อีกส่วนหนึ่งมาจากดนตรีของ The Beach Boys และที่สำคัญที่สุด มาจากนักร้องนักแต่งเพลงโฟล์คที่ชื่อ Bob Dylan แต่การต่อสู้ที่เข้มข้นบนอันดับเพลงในช่วงนี้ กลับเป็นการพัฒนาดนตรีร็อค ครั้งสำคัญที่สุด ทำให้เพลงร็อคมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไป
ปี 1967 วงการร็อคพัฒนาไปอีกก้าวใหญ่ แม้ว่าช่วงนั้นจะมีปัญหาทางการเมือง มีการเรียกร้องสันติภาพ มีปัญหาการใช้ยาเสพติด แต่กลับทำให้ดนตรีร็อคพัฒนาตัวแทรกเข้าถึงดนตรีประเภทอื่นๆ และย้อนกลับมาเป็นดนตรีร็อคอย่างกลมกลืน ได้เกิดดนตรีแนวBlues-Rock, Folk-Rock, Country-Rock จากการนำของวงดนตรีอย่างเช่น The Byrds, The Cream, The Paul Butterfield Blues Band จากนั้นก็เข้าสู่ยุค Psychedelic จากเพลงของ The Beatles, Jefferson Airplane, The Grateful Dead, The Doors, Pink Floyd, Jimi Hendrix และ Janis Joplin
ยุค 1970s กระแสของวง Rock จากเกาะอังกฤษได้แพร่หลายโดยมีวงใหม่ๆอย่าง The Who และ Led Zeppelin เกิดขึ้นมาทำให้ตลาดบันเทิงในสหรัฐเต็มไปด้วยศิลปิน Rock จากอังกฤษ สามารถถกล่าวได้ว่าเป็นความพ่ายแพ้ของวงการเพลงสหรัฐในการตอบสนอง ความต้องการของคนรุ่นใหม่ เหมือนกับจะเป็นข้อเตือนให้เห็นว่า การเหยียดผิว ไม่ยอมรับศิลปินผิวดําของตน หรือการ "White Wash" ศิลปินดังกล่าวโดยใช้ Elvis หรือ Pat Boon นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน และทําให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรุ่นใหม่ กับวงการบันเทิง
Rock, Hard Rock, Heavy Metal, Soft Rock ตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 70 เป็นต้นมา ก็ได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆโดยแนวทางที่ชัดเจนอยู่ 2 อย่างคือ Hard Rock เป็นดนตรีที่หนักหน่วง และ Soft Rock เป็นร็อคที่นุ่มนวลกว่า
Hard Rock, Heavy Metal
ในทางด้านสีสันดนตรีนั้น ทั้ง Heavy Metal และ Hard Rock มีความใกล้เคียง กันมาก จนแทบจะแยกกันไม่ออก โดยทั้งสองแนวนี้จะใช้เสียงในการเล่นที่ดัง เครื่องดนตรีส่วนใหญ่ จะเป็นกีตาร์ เบส และกลอง บวกกับเสียงร้อง ที่ต้องใช้พลัง มีสิ่งหนึ่งที่พอจะแยกความแตกต่างระหว่าง Heavy Metal กับ Hard Rock คือ ดนตรีในแบบ Hard Rock นั้น จะมีสำเนียงของดนตรีบลูส์ และร็อคแอนด์โรลล์ ผสมผสานกันอยู่ แต่ใน Heavy Metal นั้นมีน้อยมาก
ในช่วงต้นยุคทศวรรษ 70 นั้น Heavy Metal ซึ่งได้เติบโตมาจาก Hard Rock และพัฒนาจนมีความชัดเจน ด้วยการเล่นที่ดุดัน หนักหน่วง ร้อนแรง ผู้ฟังส่วนใหญ่เป็นวัยหนุ่มสาว ที่ต้องกาารสื่อสารกับคนภายนอก แสดงออกชัดอย่างโจ่งแจ้งทางอารมณ์และความคิด สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ และแหวกขนบธรรมเนียมของสังคม ที่ผ่านมานั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งแง่บวกและ แง่ลบกันอยู่เสมอเกี่ยวกับดนตรี Heavy Metal แต่ก็ยังได้รับ การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเป็นที่ยอมรับ มาเรื่อยๆ
ตั้งแต่ 1970 เป็นต้นมา ดนตรี Hard Rock และ Heavy Metal ได้ แตกแขนงออกไปจนมีลักษณะเฉพาะของตัวเองแยกออกไปเป็นชื่อต่างๆ ที่เรียกตาม ลักษณะดนตรี บางครั้งแบ่งตามลักษณะของการแต่งตัว แบ่งตามลักษณะของเนื้อหา ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันได้แก่ Glam Rock, Arena Rock, Boogie Rock, Pop- Metal, British Metal, Thrash, Neo-Classic Metal, Speed Metal, Death Metal, Guitar Virtuoso, Progressive Metal, Punk Rock, Rap Rock. Soft Rock
Soft Rock
และอีกแนวเพลงที่เกิดขึ้นในตอนต้นของปี 1970 มีลักษณะเพลงที่เรียบง่าย ทำนองรื่นหู มีความสวยงาม อ่อนโยน และเป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟังทั่วไป ศิลปินที่ มีชื่อเสียงได้แก่ The Carpenters, Bread, Carole King, The Eagles, Elton John และ Chicago ซึ่งสร้างผลงาน ดนตรีที่มีความเรียบง่ายแต่มีความไพเราะและกลายเป็นบทเพลงที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา กลายเป็นจุดเริ่มต้นของงาน ที่ให้ความสำคัญกับความอ่อนหวานในบทเพลง ตลอดทศวรรษที่ 70 ดนตรีร็อคได้มีการพัฒนาและแตกแขนงกลายเป็นดนตรีอีกหลาย แนว โดยมีชื่อเรียกต่างกันออกไป ได้แก่ Pop Rock, Pop Dance, Dance, Easy Listening, Folk Rock, Jazz Rock , Disco และอื่นๆ ปัจจุบันดนตรี Rock ได้วางรากฐานไว้ในดนตรีแทบทุกประเภท โดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดนตรี ร็อคยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และคงยังได้รับความนิยมอยู่เสมอมา ดังคำกล่าวของ วงโรลลิ่งสโตนว่า "ก็แค่ร็อค แต่ก็ชอบนะ" วิวัฒนาการของร็อกและแนวย่อยที่ได้รับความนิยมในช่วงเวลาต่างๆ โดยสรุป ดังนี้ กลางยุค 50 ร็อกแอนด์โรล เช่น เอลวิส เพรสลีย์ ,เจอร์รี ลี ลีวิส เป็นต้น กลางยุค 50 - ต้นยุค 60 British rock ยุค 60 garage rock ยุค 60 Surf music ยุค 60 1963 - 1974 Folk rock Psychedelic rock Progressive rock Soft rock Hard Rock Glam Rock Heavy Metal กลางถึงปลายยุค 70 Progressive rock Progressive Metal Arena Rock Punk rock New Wave Post Punk ยุค 80s Glam metal Instrumental rock Gothic Alternative music และ กระแสเพลงอินดี้ ต้นถึงกลางยุค 90 Alternative เข้าสู่กระแสหลัก Grunge เช่น Nirvana Modern rock Britpop เช่น Oasis , Blur , ทราวิส Indie rock Stoner rock เช่น Queens of the Stone Age 1994-1999 Pop punk เช่น Simple Plan, Sum41, Blink182 Post-grunge เช่น Foo Fighters, Everclear Rapcore และ Nu metal เช่น วง Limp Bizkit, Korn, Linkin Park Hardcore เช่น วง Hatebreed 2000-ปัจจุบัน Garage rock revival เช่น Jet Post-punk revival เช่น Good Charlotte Metalcore เช่น วง Norma Jean Emo เช่น วง Story Of The Year ,Funeral For a Friend Screamo เช่น วง Underoath , Saosin, The Used